น้ำส้มสายชูหมักกับการอดอาหาร แบบ IF เทรนด์ใหม่สำหรับผู้รักสุขภาพที่กำลังมาแรง

IF

ปัจจุบันหลายๆท่านอาจจะเคยได้ยินเรื่อง Intermittent fasting (IF) บางท่านอาจเข้าใจว่าเป็นการอดอาหารเหมือนกับที่เราเคยทำมาแต่จริงๆแล้วไม่ใช่ เพราะคำว่า Intermittent คือ การทำเป็นพักๆไม่ต่อเนื่อง และ Fasting หมายถึง การอดอาหาร ซึ่งรวมกันเป็น ‘ การอดอาหารเป็นเวลา ’ ที่กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากสำหรับกลุ่มคนที่รักสุขภาพที่ต้องการลดน้ำหนัก เพื่อลดไขมันสะสม ทำให้หุ่นดีขึ้น ชะลอวัยทั้งภายใน และภายนอก เพิ่มพลังงานสมอง รักษาโรคความดันโลหิตสูง โรคอ้วน และที่สำคัญคือการรักษาโรคเบาหวาน แบบถอยหลัง (Reverse Diabetes) โดยการไม่ใช้ยาใดๆทั้งสิ้น

ก่อนอื่นเราต้องมาทำเข้าใจกลไกในการเกิดโรคเบาหวานว่า เกิดจากการที่ตับอ่อนไม่ยอมผลิตอินซูลิน เนื่องจากจำนวนไมโตคอนเดรียในเซลล์มีจำนวนลดลงหรือถูกแทนที่ด้วยไขมัน (Lipid) ทำให้อินซูลินไม่ถูกเรียกมาใช้งานในกระบวนการเผาผลาญกลูโคสในเซลล์ จึงต้องรักษาโดยการฉีดอินซูลินเพื่อชดเชยปริมาณอินซูลินที่ลดลง แต่ร่างกายของมนุษย์สุดแสนที่จะมหัศจรรย์อัตโนมัติยิ่งกว่าเครื่องจักร หรือคอมพิวเตอร์ ยิ่งเราฉีดอินซูลินเข้าไปในร่างกายก็จะยิ่งทำให้ตับอ่อนผลิตอินซูลินน้อยลง ซึ่งภาวะแบบนี้เราเรียกว่า Insulin Resistance หรือภาวะต่อต้านการผลิตอินซูลิน โดยสังเกตจากการที่ผู้ป่วยโรคเบาหวานต้องเพิ่มโดสของอินซูลินขึ้นเรื่อยๆ จากปัญหาดังกล่าวมีการค้นคว้าวิจัยกันอย่างแพร่หลายในวงการแพทย์ สิ่งที่นักวิจัยเฝ้าสังเกตคือ สถิติของกลุ่มคนที่เรียกว่า Vegan ของลัทธิ Seventh-day Adventist คือ กลุ่มคนที่ไม่รับประทานเนื้อสัตว์ นม และไขมันจากสัตว์ จะทานผักเป็นส่วนใหญ่ คล้ายๆกับมังสวิรัติในบ้านเรา แล้วพบว่าแทบจะไม่มีผู้ป่วยที่เป็นโรคอ้วน และเบาหวานเลย นายแพทย์ Jason Fung ชาวแคนนาดา จึงทดลองกับผู้ป่วยเบาหวานให้ทำการควบคุมอาหาร และควบคุมเวลาทานอาหารแบบ IF หลังจากผู้ป่วยลองทำ IF เป็นเวลา 6 สัปดาห์ และตรวจเลือดผู้ป่วยรายนั้น ผลตรวจพบว่า ฮีโมโกบิล A1C กลับมาอยู่ในระดับปกติ คือต่ำกว่า 7

จากการผลลัพธ์ดังกล่าวก็มีการทดสอบกับผู้ป่วยเบาหวานอีกหลายคน ผลลัพธ์ก็เป็นเช่นเดียวกัน ทุกคนที่เข้ารับการบำบัดนั้นไม่ต้องฉีดอินซูลินอีกเลย และตับอ่อนก็สามารถกลับมาผลิตอินซูลินเองได้เป็นปกติ สามารถลบคำพูดที่ว่า “เบาหวานไม่มีทางรักษาหาย” ลงอย่างสิ้นเชิง จากการค้นพบวิธีการรักษาผู้ป่วยเบาหวาน ทำให้เกิดเทร็นด์ใหม่ในการควบคุมอาหาร และระยะเวลาทานอาหาร แทนการฉีดอินซูลิน ทำให้เป็นที่นิยมแพร่หลายทั่วโลกอย่างรวดเร็ว เพราะเห็นผลชัดเจน และไม่ต้องใช้ยา สามารถทำได้เอง เพียงแต่ผู้ป่วยที่ต้องฉีดอินซูลินนั้นจะต้องแจ้งแพทย์ที่ทำการรักษาท่านแบบเดิมอยู่ เพราะการทำ Reverse Diabetes จะทำให้ระดับน้ำตาลลดลงอย่างรวดเร็ว จึงต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของแพทย์อย่างใกล้ชิด แต่ถ้าท่านอยู่ในระดับแค่น้ำตาลเกิน โรคอ้วน ความดัน เหล่านี้ท่านสามารถเริ่มทำ ตั้งแต่ 6 โมงเย็นวันนี้ ห้ามทานอาหารไปจนถึง 10 โมงเช้า นั่นคือการอดอาหาร 16 ชั่วโมง ส่วน 8 ชั่วโมงที่เหลือท่านจะทานกี่มื้อก็ได้ แต่ต้องควบคุมปริมาณ และชนิดของอาหาร โดยหลักๆจะงดแป้ง ไขมัน น้ำตาล และผลิตภัณฑ์จากนม

หลังจากการทำ IF ในช่วงระยะเวลาอด หรือ fasting ร่างกายจะไม่ได้รับพลังงานจากอาหารใดๆทั้งสิ้น เพราะเราไม่ได้ทานเข้าไป ร่างกายจะนำไกลโคเจนในตับมาใช้ก่อนจนหมด ร่างกายก็จะนำไขมันที่สะสมไว้ในที่ต่างๆมาใช้งาน ซึ่งระยะนี้เราเรียกว่า คีโตสิส (Ketosis) ร่างกายจะปล่อยสารคีโตนออกมา โดยเราสามารถสังเกตได้จากกลิ่นของปัสสวะที่เปลี่ยนไป ถึงตอนนี้หลายท่านที่สะสมไขมันไว้ที่พุงคงจะตื่นเต้นและดีใจ แต่มันไม่ได้เกิดขึ้นในเร็ววันท่านจะต้องใช้ความอดทน และพยายามอยู่หลายสัปดาห์ถึงจะเห็นผล

ผลข้างเคียงที่จะเกิดกับผู้ที่ทำ IF คือ การขาดวิตามิน และเกลือแร่ หรือบางท่านก็อาจจะขาดแม้กระทั่งโปรตีน เพราะงดอาหารบางประเภท ดังนั้นในต่างประเทศ จึงนิยมเสริมด้วยเกลือแร่ และวิตามินหลายรูปแบบ วิธีแก้ง่ายๆก็คือ การดื่มน้ำส้มสายชูหมักจากอ้อยผสมสมุนไพร ตราอาเมะ ผลิตภัณฑ์ของคนไทย ซึ่งอุดมไปด้วย เกลือแร่ เช่น โพแทสเซียมที่สูงมากๆ(จนมีรสชาติเค็ม) ตามผลทดสอบจาก แล็ปกลางแห่งประเทศไทย นอกเหนือจากโพแทสเซียมที่สูงแล้ว เครื่องดื่มยังมีแม็กนีเซียมอีกด้วย ซึ่งการขาดโพแทสเซียมในร่างกายมนุษย์มีอันตรายสูงมาก หากท่านมุ่งการอดอาหารแต่ลืมเสริมเกลือแร่ ผลร้ายอาจจะตามมา อีกเหตุผลหนึ่งก็ คือในช่วงของการอดอาหาร (fasting) ท่านสามารถจิบน้ำส้มสายชูหมักจากอ้อย ตราอาเมะ ต่างน้ำได้ โดยไม่ให้แคลรอรี่แก่ร่างกายเลย (เฉพาะสูตร 2 และ สูตร 3 เท่านั้น)

โดย : มณฑล

:นฤมล

อ้างอิง : Dr. Jason Fung

: Dr.Neal Barnard